หลวงปู่ศุข
อภินิหารแห่งศรัทธา
หากกล่าวถึงหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าแล้ว ผู้ที่นิยมสะสมพระเครื่องและเครื่องรางของขลังจะรู้จักกันดีว่า ท่านเป็นหนึ่งในภิกษุที่มีวิชาอาคมที่แก่กล้ายิ่งนัก
หลวงปู่ศุข เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 4 ขึ้น 8 ค่ำ ปีวอก พ.ศ. 2390 ที่บ้านมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เมื่ออายุครบ 22 ปี ได้อุปสมบทที่วัดโพธิ์บางเขน โดยมีพระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ศุขได้เริ่มร่ำเรียนพระธรรมวินัย วิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน อีกทั้งวิชาอาคมจากหลวงพ่อเชยนี้เอง
เมื่อศึกษาเล่าเรียนพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศึกษาวิชาอาคมจากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญ
หลวงปู่ศุขเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งได้ข่าวว่าบิดามารดาซึ่งชราภาพลงตามอายุขัยเริ่มมีความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วง ท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้าน ชื่อวัดอู่ทอง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน (ปัจจุบันก็คือ วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั่นเอง)
ด้วยสภาพของวัดอู่ทองในขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมมาก เกินกว่าจะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้อีกต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังให้พอเป็นที่อยู่อาศัยได้ ต่อมา ชาวบ้านแถบนั้นซึ่งมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อท่านเป็นอย่างมากได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นมาใหม่ ซึ่งท่านก็ได้จำพรรษา ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ
ที่พึ่งทางใจ
มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ รวมทั้งเรื่องราวอภินิหาร ของขลัง คงกระพันชาตรีอีกมากมาย ด้วยหลวงปู่ศุขเป็นพระที่มีเมตตา จึงมีศิษย์มากมายมาเล่าเรียนวิชาเหล่านี้กับท่าน
นอกจากนี้ ด้วยความที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขายจะขึ้นล่อง ต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำ พ่อค้าแม่ขาย เรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน หน้าวัดของท่านจึงกลายเป็นชุมทางพ่อค้าแม่ขายที่สำคัญไปโดยปริยาย และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ยิ่งเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ จนเป็นที่รู้จักกันดีว่า “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า”
ครั้งหนึ่ง เสด็จในกรมหลวงชุมพรซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ ได้แวะมาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ศุขเพื่อศึกษาทางมหาพุทธาคม พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉาน จนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร ต่อ
ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าชนะมาร ในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลาก พัดพาเอาทัพพระยามารจนพ่ายแพ้ไป เป็นภาพเขียนที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่า เสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก
ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง (ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ (ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด) ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน 1 ปีกุน พ.ศ. 2466 ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ 76 ปี
ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว เคยมีคนสมคบคิดกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขในวัดปากคลองมะขามเฒ่าไปขาย ด้วยดวงวิญญาณของหลวงปู่ศุขผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ จึงเข้าประทับทรง สื่อสารผ่านร่างทรง นำพาคณะเดินทางไปยังจังหวัดนครสวรรค์ ลดเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบานประตูมณฑปเพื่อเตรียมขนออกนอกประเทศได้อย่างทันท่วงที สามารถยึดเอาบานประตูทั้ง 4 บานคืนกลับไปได้ นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ยิ่งนัก
เรื่องราวอภินิหารของหลวงปู่นั้น อาจจะยากต่อการพิสูจน์ แต่ที่เราเห็นได้ชัดเจนจากท่านคือ ท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลาย เปี่ยมไปด้วยความกตัญญูต่อบิดามารดา และการอุทิศตนให้กับการสืบทอดพระพุทธศาสนา เรื่องราวของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่านี้ จะเป็นอีกหนึ่งตำนานที่เล่าขานต่อกันไปอีกนานเท่านาน