มหาบุรุษแดนมังกร
ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในโลกคู่กับสหรัฐอเมริกา และยังมีโอกาสก้าวหน้าขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองหมายเลขหนึ่งของโลกภายในศตวรรษนี้
การก้าวขึ้นมาผงาดของจีนสู่ความยิ่งใหญ่ในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง 3 มหาบุรุษผู้ก่อร่างสร้างประเทศจีนใหม่ นั่นคือ เหมา เจ๋อตุง ผู้นำสูงสุด ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน, โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรี-นักการทูตผู้โด่งดัง และ เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่สอง
เหมา เจ๋อตุง
เหมา เจ๋าตุง หรือที่ชาวจีนนิยมเรียกว่า ท่านประธานเหมา ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เวลา 25 ปีที่ เหมา เจ๋อตุง ปกครองประชากรจำนวน 1 ใน 4 ของโลก เขาเปลี่ยนจีนจากระบบศักดินาที่ล้าหลังให้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจ
โจว เอินไหล
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นที่รักยิ่งของคนจีน คู่คิดคนสำคัญของท่านประธานเหมา มีบทบาทสำคัญในพรรคฯ อย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ช่วงก่อตั้งพรรคฯ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรบ หรือการเผยแพร่ความคิดของ เหมา เจ๋อตุง รวมทั้งการเป็นสุภาพบุรุษนักการทูตคนสำคัญของโลก ที่เปิดประเทศจีนสู่โลก ผูกมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทำให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแห่งศตวรรษใหม่ของชาติตะวันตก อันเป็นการปูแนวทางพื้นฐานสำหรับนโยบายสำคัญที่ทำให้จีนเจริญรุดหน้าเช่นในปัจจุบัน นั่นคือ “นโยบายสี่ทันสมัย”
สหประชาชาติได้ลดธงลงครึ่งเสาเพื่อเป็นการไว้อาลัย ในวาระที่เขาถึงแก่อสัญกรรม นับเป็นผู้นำประเทศคนแรกที่สหประชาชาติให้เกียรติเช่นนี้
แม้แต่อเมริกา ประเทศมหาอำนาจที่อยู่คนละขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองกับจีนยังยกย่องว่า ศักยภาพของโจว เอินไหล คือ สมบัติสำคัญของชาติจีน
ในช่วงที่กองทัพแดงแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมีขนาดเล็กและกำลังจะเพลี่ยงพล้ำแก่รัฐบาลในขณะนั้น เหมา เจ๋อตุง และโจว เอินไหล พร้อมคณะ ได้นำกำลังทหารพร้อมด้วยประชาชนจำนวนหนึ่งเดินเท้าถอยร่นจากทางใต้ หนีขึ้นไปทางเหนือของประเทศจีน
เป้าหมายของการเดินทัพครั้งประวัติศาสตร์นี้ คือการสร้างฐานที่มั่นของกองทัพแดงในเมืองสำคัญซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในภาคตะวันตก ระหว่างทางมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก กลายเป็นวีรกรรมของกองทหาร ชาวนาและกรรมกรแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ชาวจีนและชาวโลกต่างยอมรับว่า เป็นการเดินทัพที่ยากลำบากและยิ่งใหญ่เกรียงไกรในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของจีน รู้จักกันในนาม “Long March” หรือ “การเดินทัพทางไกล”
การเดินทัพครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1934 โดยเริ่มต้นจากมณฑลเจียงซีไปทางทิศตะวันตก และย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านดินแดนทุรกันดารทางตะวันตกของประเทศจีน ไปยังมณฑลส่านซี
ตลอดเส้นทางเดินเท้า 25,000 ลี้ หรือราวๆ 12,500 กิโลเมตร กองทัพแดงได้สร้างวีรกรรมเดินเท้าผ่านมณฑลต่างๆ ถึง 14 มณฑล ต้องเผชิญกับความอดอยาก ความทุรกันดารยากแค้นของสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศในพื้นที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านไป เดินย่ำไปในเขตแดนที่เป็นทุ่งหญ้าน้ำขัง ป่าเขา ผ่านหมู่บ้านที่ยากจน และพิชิตภูเขาหิมะ รวมระยะเวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 2 ปี ด้วยกำลังพลเริ่มต้นมากกว่า 100,000 คน เหลือผู้รอดชีวิตมาถึงจุดหมายได้ไม่ถึง 30,000 คน วีรกรรมของกองทัพแดงในวันนั้นยังคงตราตรึงในจิตใจชาวจีนมาจนถึงวันนี้
การเดินทางครั้งนี้ถึงแม้จะสูญเสียกำลังพลไปมากมาย แต่ก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ เหมา เจ๋อตุง และคณะ ในฐานะที่เป็นการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่สร้างขึ้นโดยชาวจีน ยังได้รับการสนับสนุนและเข้าร่วมในกองทัพโดยประชาชนจีนทั้งหญิงและชาย นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้พรรคคอมมิวนิสต์จนสามารถขยายกำลังเติบโตขึ้นในเวลาต่อมาด้วย และที่สำคัญคือทำให้เหมาได้รับการสนับสนุนจากผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนอื่นๆ ให้ขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมา
หลังจากสะสมกำลังพลและอาวุธที่มณฑลส่านซีอยู่หลายปีจนถึง ค.ศ. 1945 กองทัพแดงได้ยกทัพมาต่อสู้กับรัฐบาลเจียง ไคเช็ก และขับไล่เจียง ไคเช็ก ไปยังไต้หวัน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949
เติ้ง เสี่ยวผิง
ผู้นำรุ่นที่ 2 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ถึง พ.ศ. 2540
เขาเป็นผู้นำนักปฏิวัติที่เน้นความเป็นจริงมากกว่าแนวทางตามทฤษฎี เปลี่ยนแปลงประเทศจีนจากความเป็นสังคมนิยมแบบเคร่งครัด มาสู่การเปิดประเทศ โดยใช้หลักกลไลทางการตลาดแบบทุนนิยม ผสมผสานกับแนวคิดแบบสังคมนิยม จนกลายมาเป็นระบอบการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ทำให้ประชาชนจีนได้ลืมตาอ้าปาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างในปัจจุบัน
ภายใต้การนำของ เติ้ง เสี่ยวผิง จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาของจีนยุคใหม่”
เรื่องราวของทั้งสามท่าน น่าจะพอช่วยทำให้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันของจีน เส้นทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ให้จีนเจริญเติบโต จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองของโลกในปัจจุบัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กระแสโลกจะเคลื่อนไปในทิศทางใด พวกเขาทั้งสามก็ยังคงอยู่ในหัวใจชาวจีนเสมอ